หลายคนอาจคิดว่า “ทำงานประจำแล้วจะเป็น KOL ได้อย่างไร?” แต่ในโลกโซเชียลปัจจุบัน เรามักเห็นคอนเทนต์จากคนทำงานจริง เช่น “Corporate Girl”, “A Day in My Life as a Software Engineer” หรือ Office Vlog ที่สะท้อนชีวิตการทำงานในแบบของตนเอง คอนเทนต์เหล่านี้คือการสร้างตัวตนที่แท้จริง เพราะไม่ว่าใครก็สามารถเล่าเรื่องราว มุมมอง และไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้อย่างสร้างสรรค์
ล่าสุด AnyMind Group ร่วมกับ True Corporation จัดเวิร์กชอป “From Follower to Influencer 2025” ภายใต้โครงการ C.P. Super KOL Roadmap 2025 เพื่อส่งต่อความรู้และแรงบันดาลใจให้พนักงานทรูเรียนรู้การสร้างคอนเทนต์อย่างมืออาชีพ พร้อมทำความเข้าใจบทบาท KOL องค์กร ที่สามารถสื่อสารคุณค่าของแบรนด์จากภายในได้อย่างทรงพลัง
เปิดเวทีด้วยเทรนด์ KOL และ TikTok Insights จาก AnyMind Group
คุณเชอร์รี่ – อุมามณฑ์ ศิริลักษณาพร (Vice President of Influencer Marketing and POKKT, Thailand, AnyMind Group) บรรยายหัวข้อ “พลิกเกมธุรกิจด้วยโซลูชันการตลาดครบวงจร พร้อมอินไซต์ TikTok และ KOL ที่ต้องจับตา” โดยเน้นว่า อินฟลูเอนเซอร์ยุคนี้ไม่ได้วัดที่ยอดไลก์หรือจำนวนโพสต์ แต่คือ การใช้ข้อมูล (Data-driven Marketing) เพื่อสร้างผลลัพธ์จริง และแนะนำแนวคิด “Tech-Powered, Human-Led Influencer Marketing” ผ่านแพลตฟอร์ม AnyTag และ AnyMind’s Creator Network ที่ช่วยครีเอเตอร์เชื่อมต่อแบรนด์ สร้างคอนเทนต์ตรงใจผู้ชม และสร้างคุณค่าในระยะยาว
นอกจากนี้ยังชี้เทรนด์สำคัญปี 2025 เช่น
- การเติบโตของ Influencer Partner หลายระดับ (Growth, Expert, Celebrity)
- การเกิด Sub-Content Cultures เช่น GRWM, Unbox, Street Food, Desk Organize
- แนวคิด Hyper-Relevant Targeting การสื่อสารเฉพาะกลุ่มเพื่อ engagement ที่ลึกกว่าเดิม
คุณเชอร์รี่ยังเน้นย้ำว่า “KOL ทุกระดับ ทุก Generation มีคุณค่าในแบบของตัวเอง” ไม่ว่าจะเป็น Nano Creator ที่เข้าถึงกลุ่มเฉพาะทาง หรือ Mega Influencer ที่สร้างการรับรู้ในวงกว้าง หากใช้ศักยภาพของแต่ละกลุ่มให้เหมาะสม ก็สามารถสร้างผลลัพธ์ทางการตลาดที่ทรงพลังได้เช่นกัน
ทำความเข้าใจ KOLs อย่างลึกซึ้ง
ต่อด้วยคุณไอซ์แลนด์ – ปรัชญา ขันธ์แก้ว Senior Manager, Influencer Marketing, Thailand, AnyMind Group ในหัวข้อ “เปิดประตูปรับพื้นฐานความเข้าใจ KOL”
KOL (Key Opinion Leader) คือผู้ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ติดตาม ด้วย ผู้ติดตาม ความเชี่ยวชาญ และ ความน่าเชื่อถือ ในสาขาหรือด้านใดด้านหนึ่ง คุณไอซ์แลนด์อธิบายความแตกต่างระหว่าง KOL แต่ละประเภท ตั้งแต่ Nano, Micro, Macro จนถึง Mega
ความแตกต่างระหว่าง KOL และ Influencer คือ KOL เน้นความเชี่ยวชาญและโน้มน้าวการตัดสินใจ ในขณะที่ Influencer เน้นความนิยมและการมีส่วนร่วมผ่านไลฟ์สไตล์นั่นเอง
คุณไอซ์แลนด์ได้แชร์มุมมองที่ได้ทำงานแบรนด์ต่าง ๆ หลาย ๆ แคมเปญว่า “การเลือก KOL ไม่ได้ดูแค่ยอดผู้ติดตาม แต่ต้องพิจารณาความเหมาะสมของกลุ่มเป้าหมายและความสอดคล้องกับแบรนด์”
สิ่งที่แบรนด์จะพิจารณา มีดังนี้
- ความสอดคล้องของผู้ติดตามกับกลุ่มเป้าหมาย
- ความเหมาะสมของคอนเทนต์กับภาพลักษณ์แบรนด์
- ระดับการมีส่วนร่วม มีการโต้ตอบและ engagement ของผู้ชมในคอมเมนต์มากน้อยเพียงใด
- ความเสี่ยงของคอนเทนต์: มีประเด็นที่เคยหรืออาจก่อดราม่าหรือไม่
- ความคุ้มค่า: การลงทุนใน KOL เหมาะสมและให้ผลลัพธ์คุ้มค่าหรือไม่
สำหรับผู้สร้างคอนเทนต์ แนะนำว่า เริ่มจากเข้าใจตัวเองและกลุ่มผู้ติดตาม วิเคราะห์ข้อมูลเบื้องหลัง ปรับวิธีเล่าเรื่องให้ตรงผู้ชม และเลือกแบรนด์ที่เหมาะกับตัวเอง
สิ่งที่ KOL ควรคำนึงถึงเมื่อได้รับโจทย์จากลูกค้า
- เข้าใจโจทย์ให้ชัด: รู้ว่าแบรนด์ต้องการอะไรและ Key Message คืออะไร
- คอนเทนต์ต้องสอดคล้องกับตัวตนและผู้ติดตาม: เล่าในแบบที่เป็นเรา และสร้างความเชื่อมั่นจากผู้ชมได้จริง
- สร้างสรรค์ผลงานตามสไตล์ตัวเอง: ตีโจทย์ให้แตก ถ่ายทอดไอเดียอย่างสร้างสรรค์และใส่ใจคุณภาพ เพื่อให้คอนเทนต์แตกต่าง น่าจดจำ และโดดเด่นในแบบของตัวเอง
True Voice, True Influence อยากเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์? ต้องเริ่มจากเสียงของตัวเองก่อน
เพื่อน ๆ เคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนดูคลิปแค่ไม่กี่วินาที แต่บางคนก็ทำให้เราอยากดูจนจบ? คุณ โอมชม ธนภณ ชมทวี Manager of Influencer Creative Planning, Thailand, AnyMind Group มีแนวคิดเจ๋ง ๆ ชื่อ 4C ซึ่งเป็นวัฒนธรรมขององค์กรทรู ที่จะช่วยให้คอนเทนต์มีพลัง และแชร์ง่ายเหมือนคุยกับเพื่อน
- Compassion/เข้าใจคนดู: คอนเทนต์ที่ดีไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องสร้างคุณค่าและความรู้สึกร่วม
- Credibility/ความเชื่อถือได้: พูดจริง ซื่อสัตย์ เพราะความจริงใจคือสิ่งที่ชนะใจผู้ชมได้ดีที่สุด
- Co-Creation/ร่วมสร้างสรรค์: อย่ารอเทรนด์ แต่จงเป็นผู้สร้างเทรนด์ เพราะของใหม่คือสิ่งที่น่าสนใจที่สุด
- Co-Creation/ร่วมสร้างสรรค์: อย่ารอเทรนด์ แต่จงเป็นผู้สร้างเทรนด์ เพราะของใหม่คือสิ่งที่น่าสนใจที่สุด
- Courage/ กล้าคิด กล้าลงมือทำ: กล้าคิด กล้าทำ ทำเรื่องยากให้เข้าใจง่าย เพราะ “Simple is Powerful” และเร็วได้แต่อย่าลวก
เคล็ดลับทำคอนเทนต์ TikTok ให้คนดูติด
- Hook 3 วินาทีแรกสำคัญที่สุด: คว้าสายตาคนดูตั้งแต่ต้น ด้วยคำถามชวนคิด ภาพที่น่าประหลาดใจ หรือเสียงที่โดดเด่น พร้อมใส่หัวข้อ (headline) ตัวใหญ่ให้สะดุดตา
- Quantity ปริมาณก็สำคัญ: ลงคอนเทนต์หลากหลาย สดใหม่ทุกสัปดาห์ เพื่อสร้างโอกาสให้เข้าถึงผู้ชมมากขึ้น
- Diversity หาสไตล์ที่ใช่: เล่าเรื่องหลากหลาย ทดลองจนพบสไตล์ที่ตรงจริตคนดู
- Quality คุณภาพชนะใจ: คอนเทนต์ที่สนุก เข้าใจง่าย และแชร์ต่อได้ จะช่วยเพิ่ม engagement และเข้าถึงผู้ชมมากกว่า 3.3 เท่าของช่องทั่วไป
แชร์ประสบการณ์จริงจากครีเอเตอร์ตัวจริง
คุณเอ๋ย ชนากานต์ เอกเสรีวัตร Manager of Influencer Marketing, Thailand, AnyMind Group กับหัวข้อ “เอ๋ยทำได้… ใคร ๆ ก็ทำได้” ที่เล่าเส้นทางจากศูนย์จนกลายเป็น Creator เต็มตัว
ไอเดียการทำคลิปวีดีโอ
- อย่าคิดว่าเรื่องราวของตนเองไม่น่าสนใจ อาจจะสร้างแรงบันดาลใจผู้อื่นได้
- เริ่มจากสิ่งรอบตัว ความชอบ ไลฟ์สไตล์ เช่น จากชีวิตออฟฟิศ → อาหาร → ความสวยความงาม → ท่องเที่ยว
เคล็ดลับการสร้างคอนเทนต์ให้ปัง
- ทำคอนเทนต์สม่ำเสมอ (2 คอนเทนต์ / สัปดาห์)
- คลิปน่าสนใจ ดึงดูด สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม สร้าง Engagement
- มี Persona ที่ชัดเจน
- คุณภาพวีดีโอ และตัดต่อ
คุณเบลล์ พิชิตชัย โพธิ์ทอง Creator & Marketing Expert (1M followers on TikTok) กับหัวข้อ “จากศูนย์สู่ล้าน เล่าเรื่องปังคว้าล้านวิว” ที่ถ่ายทอดเทคนิค Storytelling และแนวคิดการใช้ AI อย่าง ChatGPT เพื่อหาไอเดียคอนเทนต์ใหม่ ๆ “ความจริงใจและความสม่ำเสมอ คือสิ่งที่ทำให้คนจำได้ว่า ‘เราเป็นใคร’”
หัวใจสำคัญ: ความจริงใจ + ความสม่ำเสมอ = คนจำเราได้ การเป็นตัวเองสำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบ
สรุปสาระสำคัญที่ได้จากคุณเบลล์
1.ทำอย่างไรจะได้ล้านวิว?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ความสมบูรณ์แบบ แต่อยู่ที่การ “เป็นตัวเอง” เล่าเรื่องในสไตล์ของเราอย่างจริงใจ ไม่ประดิษฐ์จนเกินไป เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่น่าติดตาม
2. แนวคิดในการสร้างสรรค์คอนเทนต์
ก่อนจะลงมือทำคอนเทนต์ เราต้องเข้าใจความสมดุลระหว่าง 2 สิ่งนี้:
- สิ่งที่ต้องทำ: คือสิ่งที่จำเป็นต่อการเติบโต เช่น การทำตามเทรนด์ การสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์แพลตฟอร์ม
- สิ่งที่อยากทำ: คือคอนเทนต์ที่มาจากความชอบหรือความหลงใหลส่วนตัวของเรา ความสำเร็จคือการหาจุดร่วมที่ลงตัวระหว่างสองสิ่งนี้
3. การเลือกใช้แพลตฟอร์ม
การเข้าใจธรรมชาติของแต่ละช่องทางจะช่วยให้เราวางกลยุทธ์คอนเทนต์ได้ดียิ่งขึ้น แต่ละแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีจุดเด่นแตกต่างกัน:
- TikTok: เน้นวิดีโอสั้น (Short Video)
- Facebook: เน้นการสร้างชุมชน (Community)
- Instagram: เน้นรูปภาพ (Pics)
- YouTube: วิดีโอยาว (Long Video)
4. วิธีการหาไอเดียสร้างสรรค์ (How to Find a Creative Idea)
ไอเดียในการทำคลิปสั้นๆ สามารถหาได้จาก 2 แหล่งหลัก คือ…
- Original (ความคิดริเริ่ม): สร้างคอนเทนต์ที่ไม่เหมือนใคร โดยอาจมาจากมุมมองของผู้เชี่ยวชาญ (Specialist), นักรีวิว (Reviewer) หรือผู้ให้ความบันเทิง (Entertainer)
- Trending (ตามกระแส): หยิบสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยมมาสร้างสรรค์ต่อยอด เช่น การใช้แฮชแท็กที่กำลังฮิต (Hashtag Trending), เพลงที่กำลังดัง (Sound Hits) หรือคอนเทนต์ที่เป็นไวรัล (Viral Content)
5. หัวใจสำคัญคือ “การเล่าเรื่อง”
เครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการทำให้คอนเทนต์น่าสนใจคือ “การเล่าเรื่อง” ซึ่งมีโครงสร้างทั้งแบบพื้นฐานและขั้นสูง เปิดเรื่อง → ดำเนินเรื่อง → ปิดท้าย
Basic storytelling
- Opening: บอกเล่าว่า ใคร (Who) + ทำอะไร (What)
- Rising: บอกเล่าว่าเกิดขึ้น ที่ไหน (Where) + เมื่อไหร่ (When)
- Ending: สรุปว่า ทำไม (Why) + อย่างไร (How)
Advance Storytelling
กุญแจสำคัญคือการเปลี่ยนจากการกระทำไปสู่อารมณ์ (Action to Emotion) โดยการเพิ่มมิติของอารมณ์เข้าไปในโครงสร้างพื้นฐานเดิม เพื่อสร้างการเชื่อมโยงกับผู้ชมให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทำให้คอนเทนต์น่าจดจำและมีโอกาสเป็นไวรัลได้สูงขึ้นนั่นเอง
เปลี่ยน “ความกลัว” ให้เป็น “คอนเทนต์” ที่ทรงพลัง
1. บริหารความกลัว (FEAR)
เริ่มต้นจากแนวคิดที่ว่าความกลัว หรือ ความกังวล ของผู้คน คือจุดกำเนิดของไอเดียคอนเทนต์ที่ดีที่สุด เพราะนั่นคือ Pain Point ที่ทุกคนกำลังมองหาวิธีแก้ไข
ตัวอย่างของ “ความกลัว” ในชีวิตประจำวัน
- ความกลัวในการท่องเที่ยว เช่น กลัวทริปแพงเกินไป, กลัวโรงแรมไม่ตรงปก, กลัวทะเลาะกับเพื่อน, กลัวโดนหลอก, กลัวเหนื่อย หรือกลัวหาของกินไม่ได้
- ความกลัวในที่ทำงาน เช่น กลัวไม่มีผลงานเข้าตา, กลัวเจ้านายดุ, กลัวสังคมการทำงาน, กลัวไม่มี Work-Life Balance หรือแม้แต่กลัวเพื่อนร่วมงานลาออก
2.กลยุทธ์การสร้างคอนเทนต์ที่ยั่งยืน (Long Term Content)
เมื่อเข้าใจ “ความกลัว” ของกลุ่มเป้าหมายแล้ว ขั้นต่อไปคือการเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและยืนระยะได้ ด้วยสูตร
Long-term Content = Insight (ความเข้าใจ) + Knowledge (ความรู้) + Creativity (ความคิดสร้างสรรค์) หมายถึง การนำความเข้าใจในปัญหาหรือความกลัวของผู้ชม มาผสมกับความรู้หรือวิธีแก้ไข แล้วเล่าออกมาอย่างสร้างสรรค์และน่าติดตาม
ตัวอย่างการเปลี่ยน “ความกลัว” ให้เป็น “ไอเดียคอนเทนต์”
เมื่อเข้าใจ Pain Point ของผู้คนแล้ว สามารถนำความกลัวเหล่านั้นมาต่อยอดเป็นคอนเทนต์ที่มีประโยชน์และเข้าถึงใจได้
ความกลัวในที่ทำงาน → ทำคอนเทนต์รีวิวชีวิตการทำงาน ลดความกังวลของผู้ชม
- รีวิวสังคมการทำงาน
- รีวิวเจ้านายและทีม
- รีวิวสวัสดิการพนักงาน
- รีวิวของกินใกล้ออฟฟิศ
ความกลัวของนักท่องเที่ยว → เปลี่ยนเป็นคอนเทนต์ให้ประโยชน์โดยตรง
- กลัว “แพง” → แชร์แพลนเที่ยวประหยัด ทริคจองห้องพักราคาถูก พิกัดร้านลับราคาประหยัด
- กลัว “ทะเลาะกับเพื่อน” → แพลนเที่ยวลดดราม่า วิธีรับมือเมื่อเพื่อนเททริป
สรุปง่ายก็คือ เมื่อเราเข้าใจความกลัว = สร้างคอนเทนต์ที่ตอบใจคนดู และสร้างคุณค่าให้แบรนด์ได้พร้อมกัน
ทำความรู้จักกับการเป็น KOL องค์กร
ปิดท้ายเซสชันโดย คุณจิ๊บ สุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล กรรมการสมาคมการตลาด และ CEO & Founder, BrandBaker ปิดท้ายด้วยหัวข้อ “เป็น KOL องค์กรมันเจ๋งหรือดียังไง”
ปิดท้ายเซสชันโดย คุณจิ๊บ สุรศักดิ์ เหลืองอุษากุล กรรมการสมาคมการตลาด และ CEO & Founder, BrandBaker ภาพโมเดล ‘TRUE x YOURS Strengths’ แสดงให้เห็นถึงวงจร (Virtuous Cycle) ที่สร้างจุดแข็งให้กับทั้งองค์กร (TRUE) และบุคลากร (YOURS) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนดังนี้:
- Create Contents: บุคลากรสร้างเรื่องราวจริง
- Become Opinion Leaders: คอนเทนต์จริงใจ → ได้รับการยอมรับ
- Resources: องค์กรสนับสนุนงบประมาณ / สิทธิพิเศษ
- More Contents: ต่อยอดคอนเทนต์คุณภาพ → เสริมสถานะผู้นำทางความคิด
เป็น KOL องค์กรมันเจ๋งหรือดียังไง?
คุณจิ๊บได้ปิดท้ายด้วยหัวข้อนี้ เพื่อจุดประกายให้ผู้ร่วมงานมองเห็นว่า การเป็น “KOL ในองค์กร” ไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ แต่คือการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ด้วยความภูมิใจและความจริงใจ
การเป็น KOL องค์กรนั้นยอดเยี่ยม เพราะเป็นการยกระดับบุคลากรให้กลายเป็นผู้ส่งสารของแบรนด์ (Brand Ambassador) เสียงของคนในองค์กรมีความหมายและสร้างความเชื่อมั่นได้มากกว่าการโฆษณาทั่วไป และที่สำคัญที่สุด คือการได้สื่อสารคุณค่าของแบรนด์ออกมาด้วยความภูมิใจและความจริงใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากในการสื่อสารการตลาดรูปแบบอื่น และเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันต้องการอย่างแท้จริง
คุณจิ๊บปิดท้ายหัวข้อนี้ด้วยการชวนผู้ร่วมงานมองว่า การเป็น “KOL ในองค์กร” ไม่ใช่แค่ประโยชน์แค่องค์กรเท่านั่นแต่การเป็น KOL องค์กรมีข้อดีสำหรับนักงานด้วยเช่นกัน เพราะพนักงานก็จะได้มีโอกาสพัฒนาทักษะการสื่อสาร ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในรูปแบบใหม่ๆ รวมถึงได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในการเติบโตไปพร้อมกับองค์กรเช่นกัน
สรุปแรงบันดาลใจจากงาน “From Follower to Influencer 2025”
งาน “From Follower to Influencer 2025” ชี้ให้เห็นว่า ทุกคนสามารถเป็น KOL ได้ หากเข้าใจตัวเองและกล้าเล่าเรื่องในแบบของตัวเองอย่างจริงใจ เพราะความคิดสร้างสรรค์มักเริ่มจากประสบการณ์ใกล้ตัว คอนเทนต์ที่ดีไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ แต่ควร “จริงใจ” และ “ต่อเนื่อง”
นอกจากนี้ KOL ภายในองค์กรยังเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนแบรนด์จากภายใน ทำให้เสียงของพนักงานกลายเป็นแรงบันดาลใจและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้อย่างแท้จริง
สุดท้ายนี้ AnyMind Group ขอขอบคุณบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ให้เกียรติทีมของเราได้ร่วมแบ่งปันมุมมองและแรงบันดาลใจดี ๆ ในครั้งนี้ และเชื่อมั่นว่าเรื่องราวและไอเดียจากงานนี้จะเป็นแรงผลักดันให้ผู้เข้าร่วมทุกคนก้าวสู่การเป็น KOL ในแบบของตัวเองได้อย่างมั่นใจ